วิชา MHR306 ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีม
การเรียนการสอนประจำสัปดาห์ที่
5
ภาคเรียนที่ 2/2558
วันที่ 11 มกราคม 2559
บทที่
3
ผู้นำแบบโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนแปลงองค์กร
ผู้นำแบบโลกาภิวัตน์ (Global
Leadership)
การที่จะกลายเป็นผู้นำแบบโลกาภิวัตน์
ไม่ใช่มีความรู้อยู่เพียงแค่ตลาด หรือการทำธุรกิจในประเทศของตนอย่างเดียว
แต่ต้องมีความรอบรู้และศึกษาข้อมูลทั้งในด้านเศรษฐกิจสังคม การเมืองของประเทศต่าง
ๆ ด้วย เพราะการแข่งขันทางธุรกิจหรือองค์กรธุรกิจในปัจจุบัน
ไม่ได้อยู่แต่เพียงภายในประเทศ แต่เพียงเท่านั้น แต่กลายเป็นองค์กรแบบโลกาภิวัตน์
คือมีการซื้อขายสินค้าและบริการะหว่างประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
ไม่ว่าองค์กรหรือธุรกิจของเราต้องการขยายในระดับประเทศ หรือต่างประเทศก็ตาม
การเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นโลกาภิวัฒน์ล้วนมีผลกระทบต่อเราทั้งสิ้น
เพราะการแข่งขันแบบโลกาภิวัตน์
มุ่งเน้นต่อการสร้างมาตรฐานการบริการที่มีคุณภาพสูงขั้นแก่ลูกค้า
กระตุ้นเรื่องความคิดสร้างสรรค์ และการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ
ดังจะเห็นได้จากมหาวิทยาลัยทั้งของรัฐและเอกชน
ที่พยายามหันมาเปิดหลักสูตรเกี่ยวกับเรื่องการจัดการนวัตกรรมกันเพิ่มมากขึ้น
หรือถ้าบริษัทของเราไม่ได้เป็นบริษัทข้ามชาติ หรือไม่ได้คิดที่จะทำธุรกิจนอกประเทศ
ก็ต้องหันมาให้ความสนใจกับเรื่องโลกาภิวัตน์เพื่อรักษาส่วนบ่งทางการตลาดของตนเองไว้
เพราะเมื่อตลาดการค้าเป็นแบบไร้รมแดน
เราก็ไม่สามารถที่จะห้ามไม่ให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศได้ เพราะประเทศไทยเองก็ส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ
ด้วยเหตุนี้
ถ้าผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจในประเทศไม่ตื่นตัวหรือปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทันกับกระแสโลกาภิวัตน์
ก็จะถูกคู่แข่งที่เป็นบริษัทต่างชาติรุกไล่จนไม่มีที่ยืนในตลาดอีกไป
ผู้นำในยุคปัจจุบัน
ต้องมีความแตกต่างจากบริหารธรกิจในอดีตเป็นอย่างมาก
เพราะความต้องการของลูกค้าและพนักงานมีความแตกต่างและเปลี่ยนไป
มาตรฐานของคุณภาพของคุณมีความเปลี่ยนแปลงไป
มีสถาบันหรือหน่วยงานที่เข้ามาควบคุมมาตรฐานเหล่านี้โดยเฉพาะ
ดังนั้นผู้นำในยุคปัจจุบันจึงต้องมองทะลุถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้ผู้นำในยุคโลกาภิวัตน์จึงมีความต้องการในเรื่องทักษะและความสามารถที่เพิ่มมากขึ้นต่อการนำไปสู่การเป็นผู้ที่มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จในท้ายสุด
สำหรับการนำองค์กรไปสู่ความมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น Masrshall
Goldamith และคณะ จึงได้เสนอคุณลักษณะที่สำคัญ 5 ประการต่อการนำไปสู่การเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพในยุคโลกาภิวัตน์
ประกอบไปด้วย
1. การคิดแบบโลกาภิวัตน์
: ผู้นำต้องมีความเข้าใจในเรื่องแตกกิ่งสาขา
หรือการขยายตัว ทางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม กฎหมาย
และการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน
2. เล็งเห็นเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรม
: คือการมองเห็นความหลากหลายในเรื่องรูปแบบการเป็นผู้นำ
ประเภทอุตสาหกรรม พฤติกรรมและค่านิยมส่วนบุคคล รวมถึงเรื่องเชื้อชาติและเพศด้วย
การเล็งเห็นความหลากหลายทางวัฒนธรรมนอกจากจะช่วยให้ผู้นำเข้าใจมากขึ้นว่า
ซึ่งถือเป็นทักษะสำคัญขอผู้นำแบบโลกาภิวัตน์
3. พัฒนาความชำนาญทางด้านเทคโนโลยี : คือการติดต่อสื่อสาร
ซึ่งต้องใช้เรื่องของเทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกโดย Marshall
Goldsmith ได้ระบุว่าผู้นำต้องมีความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้
· การนำเรื่องเทคโนโลยีเข้ามาใช้
ส่งผลหรือสามารถช่วยบุคลากร และองค์การอย่างไร
· จะสร้าง
และจัดการเรื่องการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้อย่างไร
· จะปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างในแง่บวกต่อการใช้เทคโนโลยีได้อย่างไร
· จะคัดเลือก
พัฒนาและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถทางด้านเทคโนโลยีได้อย่างไร
4. สร้างคู่แข่งและพันทธมิตร
:
การสร้างคู่ค้าและพันธมิตร
เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งในการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรที่ทำการค้าแบบชาติ
5. สร้างการมีส่วนร่วมในการเป็นผู้นำ
: การสร้างการมีส่วนร่วมในการเป็นผู้นำเป็นเรื่องจำเป็น
เพราะผู้นำหรือผู้บริหารไม่สามารถที่จะเป็นผู้ตัดสินได้แต่เพียงผู้เดียว
ผู้นำต้องสร้างนิสัยในการแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือแสดงความคิดเห็นให้เกิดขึ้นให้ได้
ผู้บริหารยุคใหม่ในประเทศไทย
ต้องหลุดจากกรอบแนวคิดเดิม ๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพของตนไปสู่การเป็นผู้นำระดับโลก
เพราะการทำธุรกิจในปัจจุบัน จะหยุดเพียงแค่ภายในประเทศไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้น
ผู้นำต้องพยายามพัฒนาคุณสมบัติการเป็นผู้นำแบบโลกาภิวัตน์ทั้ง 5 ประการดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น
เพื่อพัฒนาไปสู่ความมีประสิทธิภาพในท้ายที่สุด
อ้างอิง
:
Anonymous. (2004). Five emerging
requirements for effective leadership. Leader to Leader, 31, 57-58.
Retrieved from ABI/INFORM Global
database.
การเปลี่ยนแปลงองค์กร
การเปลี่ยนแปลงองค์กร
เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากผลกระทบภายในและภายนอกองค์กร
ซึ่งสิ่งแวดล้อมภายในหรือผลกรทบจากภายในองค์กรก็คือกิจกรรม หรือกาตัดสินใจที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรขึ้น
ส่วนสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์กรคือแรงกดกัน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงองค์กร มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงในภาพกว้าง
แบบถอนรากถอนโคน ครอบคลุมหลากหลายมิติในการดำเนินกิจการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปลี่ยนพันธมิตรขององค์กร
การปรับโครงสร้างขององค์กร เพื่อให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมที่สุด
สาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ เรื่องของการแข่งขัน
เช่น ประเทศไทยต้องเปลี่ยนแปลงในเรื่องคุณภาพของการผลิต
และมุ่งเน้นให้ผลิตภัณฑ์ที่มีระดับมากขึ้น เพราะไม่สามารถสู้แรงค่าแรงที่ถูกของจีนได้
หรือเรื่องเทคโนโลยีที่เข้ามาอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการติดต่อสื่อสารหรือการเดินทางมากยิ่งขึ้น
หรือเรื่องปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมทีมีผลกระทบต่อการวางแผนการทำธุรกิจ
หรือปัจจัยทางการเมือง เช่น นโยบายของรัฐบาลที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง
และสาเหตุอีกประการ อาจมาจากประเภทขององค์กร หรือบุคลากรในองค์กรเอง โดยสรุป
การเปลี่ยนแปลงองค์กร
เกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยภายนอกองค์กรที่บังคับทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลง
Kurt Lewin นักจิตวิทยา
กล่าวไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงที่มีการวางแผนในองค์กรสามารถเกิดขึ้นได้
โดยการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมของสมาชิกในองค์กร
โดยการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจากขั้นตอนที่แตกต่างกัน 3 ขั้นตอน
ได้แก่
1. ขั้นละลาย : เกิดขึ้นเมื่อมีแรงกดดันจากสิ่งแวดล้อมทั้งภายนอกและภายใน ผลการปฏิบัติงานที่ต่ำลง
การตระหนักในปัญหา โดยสมาชิกในองค์กรเกิดวามรู้สึกในปัญหา
และต้องมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลง
2. ขั้นเปลี่ยนแปลง : เป็นขั้นตอนที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
เกิดขึ้นเมื่อโปรแกรมหรือแผนได้มีการนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อพฤติกรรมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ซึ่งสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ บุคลากร โครงสร้างเทคโนโลยีในองค์กร เป็นต้น
3. ขั้นคงพฤติกรรม : ขั้นนี้เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นในผลลัพธ์ที่พึงปรารถนาเชิงบวก
และให้การสนับสนุนเมื่อสมาชิกเผชิญกับปัญหา รวมถึงการประเมินความก้าวหน้าของผลลัพธ์
รวมทั้งค่าใช้จ่าย และผลประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นด้วย
กลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงแบบวางแผน
การจะทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้
ต้องมีการนำกลยุทธ์ต่าง ๆ มาใช้ กลยุทธ์ที่นิยมใช้มีอยู่ 3 แบบดังนี้
1. กลยุทธ์การบังคับขู่เข็ญ
2. กลยุทธ์การชักจูงอย่างมีเหตุผล
3. กลยุทธ์การแบ่งปันอำนาจ
การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
คือ
การแสดงทัศนคติหรือพฤติกรรมของสมาชิกในองค์กรที่ไม่ให้การสนับสนุน
หรือไม่เต็มใจที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ซึ่งสาเหตุของการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงของพนักงานมากจาก
· กลัวในสิ่งที่ตนเองไม่ทราบ
ไม่ทราบว่าเปลี่ยนแปลงไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
· ขาดข้อมูลที่ชัดเจนในการตัดสินใจ
· กลัวที่จะสูญเสียความมั่นคงในชีวิต
· ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเปลี่ยน
· กลัวที่จะสูญเสียอำนาจ
· ขาดทรัพยากรที่ช่วยส่งเสริมการเปลี่ยนแปลง
· จังหวะเวลาไม่เหมาะสม
ซึ่งสาเหตุที่นำไปสู่การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
อาจมาจากเรื่องที่ต้องการเปลี่ยนแปลง หรือกลยุทธ์ที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงไม่เหมาะสม
หรือเกิดจากตัวบุคคลอย่างผู้จัดการเปลี่ยนแปลง เป็นต้น
ดังนั้นผู้จัดการการเปลี่ยนแปลงจึงต้องหาวิธีการเพื่อลดการต่อต้านที่เกิดขึ้น เช่น
1. เรื่องผลประโยชน์
2. เรื่องของความเข้ากันได้
3. ความซับซ้อน
4. ความพยายาม
จะเห็นได้ว่า
ผู้จัดการเปลี่ยนแปลงหรือผู้บริหารต้องเผชิญกับการต่อต้านจากสมาชิกองค์การไม่มากก็น้อย
เมื่อต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง ผู้บริหารต้องใช้ความอดทนและค่อย ๆ
แก้ปัญหาต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงที่วางแผนไว้ให้ได้
อ้างอิงจาก : Scherhorn, J. R., Hunt, J.G.& Osborn, R.
N. (1997). Organizational behavior
(6 th ed .). New York, NY: John
Wiley & Son, Inc
แนวโน้มของกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับองค์การ
องค์การก็เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตที่จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะกระแสโลกาภิวัตน์ของยุคสารสนเทศได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง
ต่อองค์ประกอบด้านต่าง ๆ ขององค์การให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น ได้แก่
1. ด้านโครงสร้าง (Structure) มีลักษณะเปลี่ยนไปเป็นแบบแนวนอนมากขึ้น เกิดรูปแบบโครงสร้างใหม่ ๆ มีการ
เน้นการใช้ทีมงาน และองค์การแบบไร้พรมแดน
2. องค์ประกอบของประชากร (Demographic) ประกอบด้วยคนทำงานที่มาจากต่าง วัฒนธรรมมากขึ้น ช่องว่างระหว่างวัยของพนักงานเก่า
กับพนักงานใหม่เพิ่มขึ้น
3. เกิดจริยธรรมใหม่ของการทำงาน (New work ethic) โดยความจงรักภักดีต่อองค์การของพนักงานจะลดลง
เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านค่านิยม ในการทำงานมากขึ้น
4. การเรียนรู้และองค์ความรู้ (Learning and knowledge) องค์การจะมีพนักงานที่เป็นผู้มีคุณวุฒิและมีความรู้สูงขึ้น
องค์การจะเปลี่ยนไปเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning organization) ที่ทุกคนต้องเรียนรู้ตลอดเวลา เพื่อสามารถเท่าทันการเปลี่ยนแปลง
5. เทคโนโลยีและการเข้าถึงสารสนเทศ (Technology and access to
information) มีเทคโนโลยีทรงประสิทธิภาพเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เกิดวิธีการใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึง
และการใช้สารสนเทศร่วมกันได้รวดเร็วมากขึ้น
6. เน้นเรื่องความยืดหยุ่น (Emphasis on flexibility) กล่าวคือ องค์การต้องมีโครงสร้างที่ยืดหยุ่นพร้อมที่จะปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว
พนักงานขององค์การต้องมีความคล่องตัวและยืดหยุ่นได้สูงเช่นกัน
7. ต้องพร้อมเผชิญต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว (Fast-paced change) อันเนื่องมาจากภาวะไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นทั้งภายใน
และภายนอกองค์การซึ่งไม่สามารถ คาดการณ์ล่วงหน้าได้
อ้างอิงจาก :
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น